สัญญากับพี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์เอาไว้ครับว่าถ้าพี่ตุ้ม LIVE สัมภาษณ์ ยู กตัญญู สว่างศรี เมื่อไหร่ จะเขียนเบื้องหลังที่ผมรู้และยูอาจจะไม่ได้เล่า มาให้ได้อ่านกัน
คงต้องขอย้อนความสักนิดว่า ผมกับยูรู้จักกันตอนไหน จริงๆ มันเริ่มขึ้นตอนที่ยูเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศเดียวกัน ด้วยความเป็นคนสนุกสนาน เป็นมิตรกับทุกคน นิสัยดี ทำให้ยูกลายเป็นที่รักของคนในออฟฟิศได้อย่างรวดเร็ว
เรามีโอกาสร่วมงานกันครั้งแรกในงาน DAAT Day 2016 (งานประชุมดิจิทัลประจำปีของไทย) งานนั้น ผมได้เชิญทางพี่วิชัย และเบนซ์ ธนชาต แห่ง salmon house มาร่วมเสวนากัน ทั้งสองคนยินดีมาแต่มีคำขออยู่ข้อหนึ่ง คืออยากให้พิธีกรสัมภาษณ์วันนั้นเป็น “กตัญญู สว่างศรี” ทำให้เราทั้งสี่คน ได้มีโอกาสประชุมเตรียมงาน คุยกันบ่อยๆ ยอมรับเลยว่าตอนนั้นสนุกมาก คุยกันทุกครั้งก็สนุกทุกครั้ง จนตั้งใจกว่าทำงานหลักซะอีก
หลังจากนั้น ยูกับผมก็เริ่มสนิทกัน เดินทักกันไปมาในออฟฟิศจนเบื่อ “แม็คครับ…” “ยูครับ…” ทักกันไปทักกันมา
จนมีวันหนึ่ง ตอนที่เราเดินไปกินเย็นตาโฟแถวออฟฟิศกันหลายๆ คน ผมถามยูไปตรงๆ ว่า “เฮ้ย พวกเราจะกูมึงกันได้ยังวะ” หมายถึงว่าเราสนิทกันถึงขั้นเรียกกูมึงกันได้รึยัง แทบจะในทันที ผมกับยูกลายเป็นเพื่อนที่เรียกกูมึงกันได้ (เพราะมันใช้สรรพนามที่ว่าแทบจะในทันที ฮ่าๆๆ) น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมถามใครสักคนด้วยคำถามนี้
ไม่ใช่แค่นั้น ยูยังเอาเรื่องนี้ไปตั้งสเตตัสของมันด้วย
แล้วเรื่องของผม ยู และความฝันของมัน ก็เริ่มต้นจากตรงนั้น
ผมไม่ได้มีโอกาสไปดูโชว์ครั้งแรกของยู “A-Katanyu : 30 ปีชีวิตห่วยสัส” โชว์ขนาดไม่ใหญ่แต่อบอุ่น มีแต่คนที่เป็นมิตรสหายแวะเวียนมาชม ยูเลยเอาวีดีโอของงานนั้นที่เพิ่งตัดเสร็จมาให้ดู ยูบอกว่าตอนนั้นผมเป็นไม่กี่คนที่ได้ดูวีดีโอ อยากให้ดูแล้วช่วยคอมเมนต์หน่อย หลังจากที่ผมดูจบ เลยเริ่มเข้าใจวิธีการ มุก และความเป็นตัวตนของยูบนเวที คือมันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ ยูดูเครียดเวลาใกล้จะแสดง แต่เมื่อถึงเวลาแสดง ยูจะกลายเป็น Stand-Up Comedy ที่ทำให้ทุกคนมีความสุขได้ทันที
ไม่กี่วันต่อมา ยูมาเล่าให้ผมฟังเรื่องแผนการอันยิ่งใหญ่ของมัน ยูอยากสร้าง Stand Up Comedy Community ในไทย อยากให้คนกล้าพูด กล้ายืนขึ้น สื่อสารกับคนดูให้ทุกคนมีความสุข พร้อมทั้งเล่าแผนการให้ฟังว่าจะมีการทำโชว์ทั้งหมด 2 โชว์ คือ “One Night Stand-Up : A-Katanyu & Friends” ซึ่งยูกับเพื่อนๆ อีก 7-8 คนจะมาเดี่ยวคนละ 15 นาที เป็นงานที่เริ่มสร้าง Community ในฝันขึ้นมา และแน่นอน “A-Katanyu 2017” งานโชว์เดี่ยวประจำปี ยูบอกว่า อยากทำโชว์ปีนี้เป็นโชว์ใหญ่ คนดูสัก 1,500 คน พอมันใหญ่ขนาดนั้นเลยมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะมาก ทั้งเรื่องเงิน ค่าใช้จ่าย และสปอนเซอร์ ผมเปิด Excel และเริ่มตั้งงบประมาณเบื้องต้นให้ และให้ยูเอาไฟล์นั้นไปตั้งต้นในการทำโชว์ (สรุปได้ใช้จริงๆ ป่าววะ)
เรื่องของ Sponsor ผมไม่แน่ใจว่ายูกังวลเรื่องอะไร แต่มันก็ชวนผมไปเจอสปอนเซอร์รายแรกด้วยกัน ซึ่งที่นี่เป็นบริษัททำ Content และมองยูเป็น Content Creator ที่ทำได้หลายอย่าง ทั้งเขียนหนังสือ พูด เป็นพิธีกรสัมภาษณ์ ซึ่งหลังจากคุยกันเสร็จ ก็ดูแล้วยังไม่ค่อยเข้าเค้า และดูเค้ามองยูเป็นศิลปินที่เค้าอยากพาเข้าสังกัดมากกว่า แต่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมโดดงานออกมากับยู และทำอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงานประจำดูบ้าง หลังจากออกมาจากตึก เราเลยออกมานั่งคุยกันหลายเรื่อง ยอมรับเลยว่า การคุยกับยูสำหรับผม ถือเป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง เวลาผมอยู่ออฟฟิศเครียดๆ ก็จะแวะไปคุยกับคนที่ไม่ได้ทำงานด้วยกันโดยตรงบ้าง และหนึ่งในคนที่ผมไปคุยด้วยบ่อยที่สุดก็คือกตัญญู คุยเสร็จหายเครียด การันตี ถ้าไม่หายให้ไปถีบยูได้เลย
หลังจากนั้น ยูก็มาอัพเดทผมเป็นระยะถึงความคืบหน้าของทั้งสองโชว์ และจะปิดด้วยประโยคเด็ดของมันว่า “ถ้ากูดังแล้ว มึงต้องมาเป็นผู้จัดการให้กู” ฟังทีไรก็ขำด้วยกันทุกที
ก่อนวันโชว์เดี่ยวใหญ่ประมาณ 6 เดือน ยูมาคุยกับผมว่าจะขอลาออกจากออฟฟิศไปทำโชว์ดีไหม ฟังแล้วก็ใจหาย เพราะทุกคนในออฟฟิศรักยูมาก (น่าจะ) และยูยังเป็นหัวหน้าทีม Content ของ Moonshot บริษัท Digital PR & Content ในกลุ่ม ยูทั้งกังวลว่าถ้ามันไม่อยู่ ทีมจะทำยังไง แต่จะให้อยู่ก็กลัวจะไม่ Focus กับโชว์มากพอ แล้วก็เกรงใจถ้าจะต้องลางานหลายเดือน คิดว่ายูก็ไม่รู้จะคุยกับใครเลยมาคุยกับผมก่อน
สรุปผมแนะนำไปว่า มึงอย่าคิดมากเลย ก็ลาแบบ Leave without Pay ไปก่อน ทุกคนที่นี่รักมึงและอยากให้มึงอยู่ ส่วนถ้าจะหายไปแล้วกลัวจะกระทบทีมก็รีบหาคนมาทำแทนซะ แล้วก็รีบบอกเจ้านายแต่เนิ่นๆ ซึ่งดีที่ยูรับฟัง และก็สามารถหาคนมาช่วยได้จริงๆ คืออะไรที่ยูตั้งใจทำ มันจะทำให้สำเร็จได้เสมอ (จริงๆ นะ)
ยูแม่งเป็นคนที่จริงจังกับความฝันมากครับ และเป็นคนนอยง่ายกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น แถมยังใช้อารมณ์กับการตัดสินใจสูง แต่ก็ไม่แปลกเพราะหลายครั้งการตัดสินใจแบบฉับพลันของมัน ทำให้มีเรื่องสนุกๆ ตลอดเวลา บางทีก็เปลี่ยนใจบ่อยๆ ตอนแรกบอกว่าจะโชว์ 5 รอบ รอบละ 300 คน ผมยังแย้งไปว่ามึงจะไหวเหรอ 5 รอบ สรุปตอนที่มันไปดูสถานที่ Hall ใหญ่โรงละครสยามพิฆเนศ ขึ้นไปยืนบนเวทีปุ๊บ แม่งเปลี่ยนใจทันทีเลย ขอ 3 รอบ รอบละ 700 แทน อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างนึง
สิ่งที่พิสูจน์ได้จากการสัมผัสของผมว่า ยูมีเพื่อนเยอะ และเป็นคนที่ใครๆ ก็รัก คือในวันโชว์ “One Night Stand Up : A-Katanyu & Friends” สมาชิกชาวกระต่ายจากออฟฟิศเดียวกันทั้งที่ทำงานกับยู และไม่ได้ทำงานกับยู ก็ขนกันไปดูกตัญญูอย่างล้นหลาม สนุกสนานกันไป เพื่อนร่วมงานยังพร้อมใจโหวดให้ยูได้รางวัลจากบริษัทถึง 2 รางวัล คือ “รางวัลกระต่ายสายสัมพันธ์ (ฝ่ายชาย)” และ “รางวัลคนใส่เสื้อซ้ำมากที่สุด (ฝ่ายชาย)” ผมบอกแล้ว ว่ามีแต่คนรักยู
นอกจากนั้น การทำงานของยูในแทบทุกครั้ง จะได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ เสมอ ยูมีเพื่อนที่ดีและพร้อมจะช่วยเหลือแทบจะในทุกด้าน ผมเองก็ได้แต่ช่วยคิดและให้คำปรึกษาเรื่องธุรกิจเป็นครั้งคราว แต่ยูยังมี แซม แฟกซ์ ทราย นิค และคนอื่นๆ อีกมากมาย คอยช่วยเหลือยูในด้านต่างๆ อย่างเต็มใจ จนยูสามารถสร้างงานที่ดีออกมาได้เสมอ
กตัญญู สว่างศรี อาจจะไม่ได้เป็นคนดังอะไรในวงกว้างตอนนี้ นอกจากผมกับมันจะเป็นศิษย์เก่าสถาบันแฟนพันธุ์แท้มาด้วยกัน (ยูเป็นแฟนพันธุ์แท้นิตยสาร a day ส่วนผมเป็นเรื่อง สตีฟ จ๊อบส์) ยูยังเคยเป็นบรรณาธิการสัมภาษณ์ของนิตยสาร GM เป็นหนึ่งในเจ้าของ Podcast “GetTalks” (ช่อง Podcast ที่มีคนฟังมากที่สุดในไทย และเคยเชิญผมไปสัมภาษณ์อยู่หนึ่งตอนถ้วน) ยูมีงานเขียนหลายเรื่อง และยังเป็นคนที่มีคนในวงการเขียนและสื่อรู้จัก ทำให้ผมเชื่อว่าสิ่งที่ยูทำ จะมีอิทธิพลต่อสังคมไม่น้อย เพราะคนที่มาฟังยูส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางความคิดในสังคม และผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ด้วยความเป็นคนฝันใหญ่ ใช้อารมณ์ศิลปิน และทำตามฝันตลอดเวลา จะทำให้สักวันหนึ่งมันจะดังแน่ๆ ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น ผมก็ได้แต่หวังว่า มันจะไม่ลืมคำพูดที่มันเคยให้กับผมก่อนหน้านี้
“ถ้ากูดังแล้ว มึงต้องมาเป็นผู้จัดการให้กู”
แล้วพบกับยูได้ที่งาน A-Katanyu : The Man Who Stand Up ไปฟังและมีความสุขไปกับยูกันนะครับ
สวัสดีครับ :)