[รีวิว] ประสบการณ์ใช้ Samsung Galaxy S8 และการย้ายค่าย ฉบับแฟนพันธุ์แท้สตีฟ จ๊อบส์

ช่วงต้นเดือนมิถุนายนเป็นวันเกิดของผมเองครับ ช่วงนี้เลยได้รับของขวัญมาหลายชิ้น แต่ชิ้นหนึ่งที่เซอร์ไพรส์มากๆ คือ แฟนผมซื้อ Samsung Galaxy S8 มาให้ ความจริงในฐานะสาวกแอปเปิล ผมก็คอยติดตามข่าวสารของแบรนด์ต่างๆ ตลอดเวลาอยู่แล้ว สำหรับ S8 เองก็เป็นเรือธงลำใหม่จาก Samsung ที่น่าสนใจมาก สิ่งที่น่าชื่นชม Samsung คือการออกดีไซน์ใหม่แบบ Model Change ทุกปี (ส่วนฝั่ง Apple 2 ปีครั้ง) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ขอเขียนให้ชัดเจนเลยนะครับว่า รีวิวนี้ ไม่ได้รับเงินหรือของใดๆ จากทางซัมซุง เอเจนซี่ หรือผู้ขายรายใดทั้งสิ้น (แฟนให้มาเป็นของขวัญวันเกิด จบนะ)

ไหนๆ ก็ได้รับเครื่องมาแล้ว ใช้มาประมาณ 2 เดือน เลยมาขอรีวิวกันนิดนึงครับ

รีวิวนี้ จะข้ามเรื่องที่หลายๆ ท่านรีวิวเอาไว้นะครับ โดยมุ่งเน้นเรื่องประสบการณ์ของคนเคยใช้ iOS มาก่อน แล้วดูว่าถ้าจะย้ายมาใช้ Android แบบเต็มตัว จะเจออะไรบ้าง

ตัวเครื่อง (Body)

ความดึงดูดของตัวเครื่องเป็นสิ่งที่ทาง Samsung ทำได้ดีเสมอมา ผมเริ่มรู้สึกว่าเครื่อง Samsung สวยตั้งแต่ Galaxy S6 จนปัจจุบันมาถึง S8 ก็รู้สึกยอมแพ้กับความสวยของตัวเครื่องมากๆ ทั้งผิวสัมผัส ความบาง และที่สำคัญที่สุดคือ ขอบจอที่บางมากๆ และใช้งานได้จริง (ยังไม่เคยลอง Xiaomi Mi Mix นะครับ ขานั้นคือไม่มีขอบด้านบนเลย)

การจับตัวเครื่องเปล่าๆ ไม่รู้สึกหนักหรือเบาเกินไป แต่ตัวเครื่องบางและผิวมัน ทำให้กลัวตกเวลาจับ ซึ่งพอใส่เคสแล้วก็รู้สึกกำลังดี เมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างขนาดตัวเครื่องและขนาดจอแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกว่าการออกแบบทำได้ดีมาก เพราะตัวเครื่องเล็กกว่า iPhone 7 แต่หน้าจอใหญ่กว่าเพราะแทบไม่มีขอบของตัวเครื่องเลย

เอาสายชาร์จ MacBook Pro มาเสียบนี่จะบาปไหมนะ

นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมาพร้อมคุณสมบัติกันน้ำ IP68 และยังมีรูเสียบหูฟังอยู่ (ฮา) แต่พอร์ตสำหรับชาร์จไฟได้เปลี่ยนเป็น USB-C ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ USB ผมเองค่อนข้างโอเคเพราะใช้สายชาร์จเดียวกับ MacBook Pro ที่ใช้อยู่ได้เลย แล้วก็แอบรู้สึกว่าชาร์จเร็วด้วย Fast Charging ครับ

กล้อง (Camera)

กล้องเป็นจุดเด่นของ Samsung แต่ไหนแต่ไร สาวๆ ส่วนใหญ่จะชอบกล้องหน้าเพราะถ่าย Selfie แล้วสวยงาม หน้าเล็ก ใส หลังๆ นี้เจอ Huawei Leica มาตี แถม iPhone 7 Plus ยังมีกล้อง 2 เลนส์ อาจทำให้เกิดความลังเลของผู้ใช้ไปบ้าง แต่พอได้ลองจริงก็พบว่า

กล้องหลัง

ถ่ายรูปได้สวยคม ชัดแจ๋ว แม้จะเอาไปดูที่เครื่องอื่นจออาจจะไม่สดเท่าจอ S8 แต่รูปก็สวยอยู่ดี โหมดต่างๆ ไม่ค่อยได้สนใจมาก มีไว้ก็ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ แต่ในคุณภาพของรูป ทำได้ดีเลยครับ

themacci_samsung_s8_rear_cam1
ภาพกลางวันหายห่วง
themacci_samsung_s8_rear_cam2
กลางคืนก็พอไหว
themacci_samsung_s8_rear_cam3
ฟิลเตอร์แปลกๆ มีเพียบ อันนี้ถ่ายร้านมืดๆ ด้วยนะ
themacci_samsung_s8_rear_cam4
ดูซูชิฟัวกราส์นั่นสิ!
themacci_samsung_s8_rear_cam5
ส่วนตัวชอบโหมด Food ที่ถ่ายมายังไงก็น่ากิน เออ เอาสิ

กล้องหน้า

อันนี้คือยอม ยอมแบบลงไปกราบเลย ยังไม่เคยลองกล้องของ Huawei P10 นะครับ แต่กล้องหน้านี้ทำให้ผมถ่ายรูป Selfie/Wefie เยอะขึ้นมาก คือเวลาถ่ายมาแล้วได้รูปสวยๆ ก็จะอยากถ่ายรูปบ่อยๆ จะปรับฟรุ้งฟริ้ง หรือปรับสี ฟิลเตอร์ เปลี่ยนหน้า ใส่หมวก เป็นหมาแมว แบบแอพ Snow ก็มีหมด

themacci_Galaxy_S8_Front_Camera02
Wifie Outdoor สวยมาก
themacci_Galaxy_S8_Front_Camera01
หรือจะ Indoor ก็เนียน

(จริงๆ รูปของ Samsung นอกจากกล้องจะดีแล้ว ยังมีการ Pre-Process ระหว่างการถ่าย คือเหมือนเราเอาไปเข้าแอพมาแล้ว ส่วนกล้อง iPhone คือถ่ายก่อนแล้วค่อยเอาไปเข้าแอพทีหลัง นอกจากนี้ ความสดของหน้าจอ Samsung ทำให้รูปดูดีขึ้นอีก)

สำหรับรีวิวกล้องดีๆ มีเยอะมากแล้วครับ ลองหาอ่านดูครับ สรุปของผมคือชอบกล้องของ S8 มาก ประทับใจ
รีวิวโดย Techmoblog / iPhoneMod / Pantip (SR) ภาพสวยสุดยอด

จอ (Display)

หน้าจอของ Galaxy S8 น่าจะเป็นจุดเด่นที่สุดของมือถือรุ่นนี้ ตามคอนเซปท์ Unblock your phone คือโทรศัพท์ไร้กรอบ ซึ่งเห็นได้ชัดจากขนาดหน้าจอที่ 5.8 นิ้ว บนอัตราส่วนแปลกตาที่ 18.5:9 ทำให้จอมีขนาดยาวเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับจอ 16:9 ที่เราคุ้นเคยกัน

ผลลัพธ์คือหน้าจอที่ใหญ่และแสดงผลได้มากกว่าเดิม การแบ่งหน้าจอบนล่างทำงานพร้อมกันสองแอพก็มีพื้นที่มากขึ้น การใช้หน้าจอแนวนอนเพื่อดูวีดีโอหรือเล่นเกมก็สามารถปรับให้เต็มจอได้โดยไม่เสียอัตราส่วน ให้ความรู้สึกคล้ายกับการดูหนังจอยาวแบบ Anamorphic Widescreen 21:9

หน้าจอของ Samsung โดยปกติแล้วก็จะเป็นจอ OLED อยู่แล้ว ซึ่ง S8 ในฐานะเรือธงก็จัด Super AMOLED หรือจอรุ่นโคตรเทพมาให้ ทั้งชัด สวย ใส และสีสันสดใส มีช่วงสีที่กว้าง (Color Gamut) และมี Contrast ดีมากกว่าจอแบบ TFT LED ความพิเศษอีกอย่างคือสามารถปรับความละเอียดจอได้ด้วย โดยมีความละเอียดสูงสุดถึง Quad HD+ (2960× 1440 พิกเซล) พร้อมโหมดการแสดงผลสีหลายรูปแบบ ซึ่งผมก็ใช้ Adaptive Display ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นนะครับ

ข้อดีอีกอย่างของจอตระกูล OLED คือเรื่องการประหยัดพลังงาน เพราะจุดดำที่ไม่มีการแสดงผลก็จะไม่การใช้พลังงานใดๆ ประหยัดพลังงานไปเยอะ ช่วยให้สามารถใช้งานได้ทั้งวันโดยไม่ต้องชาร์จ

อย่างไรก็ตาม หลังจากใช้งานได้ประมาณ 1 สัปดาห์ พบว่าเริ่มปวดตา ปวดหัว โดยไม่ทราบสาเหตุ สุดท้ายมารู้ว่าเกิดจากแสงหน้าจอที่มีสีฟ้ามากเกินไป พอเปิด “Blue light Filter” ก็หายสนิท ถ้าใครใช้แล้วปวดตาแนะนำให้เปิดเลยครับ

มีจุดเล็กๆซึ่งเกี่ยวกับจอที่เป็นข้อเสียคือ ตำแหน่งการกดบนหน้าจอนั้นต้องเป๊ะมาก แตกต่างจากไอโฟนที่มีการเผื่อตำแหน่งกดให้สูงกว่าตำแหน่งจริงเล็กน้อย ทำให้ต้องปรับตัวกันพอสมควร (ลองกลับหัวไอโฟนใช้งานสิครับ จะพบว่ากดไม่ค่อยโดนเลย)

จับเสียบสาย OTG กันแปปเดียวย้ายได้เกือบหมดเลย

การย้ายค่าย (Switch)

ถึงแม้ความเป็นจริงผมยังมีการพก iPhone 6s อยู่กับตัวด้วย แต่ระบบทั้งหมดก็ได้ย้ายไปใช้บน Galaxy S8 โดยสมบูรณ์แล้ว การย้ายระบบทั้งหมดผมทำเสร็จภายใน 24 ชั่วโมง โดยมีจุดหลักๆ ที่ทำให้ย้ายระบบได้ “ง่าย” ดังนี้

  1. การทำงานส่วนใหญ่ อยู่บน Google Ecosystem (G Suite) ทำให้แทบไม่ต้องย้าย
    • Email, Calendar อยู่บน Gmail หมดแล้ว แค่ Log in ก็ใช้ได้เลย
    • Contact สามารถย้ายมาจาก iCloud ได้ไม่ยาก แค่ Back Up ลง Google Drive แล้ว Log in ในเครื่องใหม่ปุ๊บ มาหมดจ้า (ทำตาม Link นี้ https://www.android.com/switch/)
    • รูป ปัญหาใหญ่ของหลายๆ คน ผมไม่เจอปัญหานี้เลยเพราะตอนใช้ iPhone ก็ลง Google Photos มันจะ Back up รูปทุกรูปในเครื่องเราให้หมดตั้งแต่ตอนถ่ายรูปเลย ผมแค่ลง Google Photos ใน S8 เสร็จ ก็มาครบหมด ไม่จำกัดพื้นที่เก็บด้วย ช่วยให้ประหยัดพื้นที่ในเครื่องไปได้เยอะ แนะนำเลยครับ ในลิ้งค์ของข้อที่แล้วก็มีเรื่องนี้ด้วย
  2. มีแอพที่เหมือนกัน หรือทดแทนกันได้บน Play Store เกือบหมด
    ผมใช้ Smart Sync ช่วยในการย้ายข้อมูลแอพ และข้อมูลจิปาถะอื่นๆ คือจะทำแบบ Manual ถึกๆ ก็ได้ แต่แบบนี้ง่ายกว่า แค่ใช้สาย Lightning ต่อกับ USB-C Adapter ที่แถมมาให้ เสียบกับ iPhone และ S8 เปิด Smart Sync ระบบจะย้ายข้อมูลมาให้ แม้แต่การตั้งนาฬิกาปลุกยังมาด้วย แถมยังเทียบแอพที่มีใน iPhone กับแอพใน Play Store ให้เสร็จ เลือกโหลดได้เลย แค่ต้องใช้เวลากดหลายแอพหน่อย
  3. ย้ายจาก Apple Note มาที่ Evernote
    อีกหนึ่งสิ่งที่ผมใช้บ่อยมากๆ ทั้งในการทำงานและเรื่องส่วนตัว คือ Apple Note ที่พิมพ์บน MacBook แล้วจะโผล่มาที่ iPhone ให้เอง (เมื่อก่อนเคยใช้ Evernote แต่หลังๆ ขี้เกียจเลยไปใช้ Apple Note) สรุปตอนนี้ย้ายกลับมา Evernote โดยย้ายข้อมูลก่อนหน้าทั้งหมดจาก Apple Note มาที่ Evernote โดยใช้ Apple Script ตามลิงค์นี้ครับ กดแล้วรออย่างเดียว https://jeremyrnelson.wordpress.com/2014/01/19/importing-apple-notes-into-evernote/
  4. มี Apple Music บน Androidชีวิตง่ายมาก เพราะแค่ Log in Apple Music ใน Android ข้อมูลทั้งหมดก็มาหมดเลย (คุณ Woz เคยบอกให้ทำมานานแล้ว ซึ่ง Apple ก็ดันทำจริงๆ สรุปย้ายโคตรง่าย วอซเอ้ยยย)
  5. ใช้สาย USB-C ในการชาร์จ
เอาสายชาร์จ MacBook Pro มาเสียบนี่จะบาปไหมนะ

ผมใช้ MacBook Pro 2016-2017 ที่เป็น Thunderbolt 3 (USB-C) อยู่แล้ว คราวนี้เลยไม่ต้องพกสาย Lightning เลย ใช้สายเดียวจบทั้งมือถือทั้ง MacBook

  • Multi-Sim
    ในความไม่ชัวร์ช่วงแรกๆ การพกสองเครื่องมันยากถ้าต้องเปลี่ยนซิมไปมา หรือเปิด 2 เบอร์ ผมเลยไปที่ AIS ทำ Multi-sim เบอร์เดียว 2 ซิมซะเลย ใช้เวลาประมาณ 5 นาที เร็วมาก ใช้งาน Data ได้จากทั้งสองเครื่องไม่มีติดขัดครับ
  • จากทั้งหมดที่ว่ามา ผมสามารถย้ายระบบทั้งหมดมาอยู่บน Galaxy S8 ได้ไม่ยาก และเห็นชัดเจนว่า Apple Ecosystem ที่เคยแข็งแรงมากๆ ตอนนี้ไม่ได้แข็งแรงเหมือนเดิมอีกต่อไป แน่นอนว่ายังมีจุดที่มีปัญหาจุกจิกพอสมควร เช่น

    1. AirDrop ไม่ได้ (ส่งไฟล์เข้า MacBook ต้องเปลี่ยนไปใช้ Side Sync แทน)
    2. AirPlay ไม่ได้ ทำให้ Apple TV ที่บ้านก็เอาไว้ดู Netflix กับซ้อมพรีเซนต์กับ Keynote ใน Mac ไปละกัน
    3. ใช้ Touch ID เข้าแอพต่างๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะพวกแอพธนาคาร
    4. ใช้เป็นรีโมท Keynote เวลาพรีเซนต์งานไม่ได้
    5. เปิด Remote Hotspot จาก Mac ไม่ได้ (แต่เปิดจากใน s8 ได้เร็วดี)
    6. เกมบางเกม ไม่มีใน Play Store จริงๆ ก็เกมที่ชอบทั้งนั้น
    7. Chat History ใน LINE ย้ายมาไม่ได้ (ตอนนี้เหมือนจะได้ละ)
    8. ไม่มี Raise to Awake หรือการเปิดหน้าจอโดยการยกเครื่องมาดู

    แต่ทั้งหมดถือว่าราบรื่นมากถ้าเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ แอพต่างๆ ก็ไม่ได้ติดอยู่กับ Apple อีกต่อไป ทั้ง Netflix, Evernote, Google, facebook, Wongnai, Feedly และอื่นๆ แค่โหลดแอพใน Android แล้ว Log in with facebook ก็จบแล้วครับ ใช้ได้เลย บาย

    Samsung Pay

    Apple pay ยังไม่มาก็ไม่เป็นไร เพราะ Samsung Pay มาแล้ว และยังสามารถใช้กับเครื่องรูดบัตรส่วนใหญ่ได้เลย การใช้งานก็สะดวกมากเพราะสามารถเลื่อนนิ้วจากขอบล่างของจอขึ้นมา สแกนนิ้ว แล้วแตะเพื่อจ่ายเงินได้เลย ใส่บัตรได้หลายใบ แถมยังใช้กับบัตรสมาชิกของห้างได้ด้วย ตอนนี้มีโปรสำหรับผู้ใช้บัตรเครดิตบางค่ายด้วยนะครับ สะดวกมากๆ และคุ้มมากๆ เช่นกัน

    ประสิทธิภาพ (Performance)

    สำหร้บมือถือตัวท๊อปของ Samsung เรื่องประสิทธิภาพไม่ต้องพูดถึงครับ และจะขอพูดเป็นภาษาชาวบ้านประมาณนี้ครับ

    • สเปคแรงมาก เร็วมาก แต่อาจติดหน่วงจากระบบ Android และ Samsung Knox บ้าง (ปิด Knox ได้นะครับ)
    • เล่นเกมสบายๆ ไม่มีปัญหา จะ ROV, Hearthstone, Clash of Clans สบายมาก
    • เปิดแอพไม่ค่อยช้านะ อาจจะหน่วงตอนเปิดหน่อย แต่เปิดได้แล้วไม่มีปัญหา
    • สรุปคือแรงสุดของ Samsung ก็รุ่นนี้แหละ อย่าห่วงเรื่องประสิทธิภาพเลย
    • ขอย้ำ เรื่องความแรงไม่ต้องคิดมาก ซื้อเถอะ แรงสุดละ

     แบตเตอรี่ (Battery)

    ยอมรับเลยว่าตอนใช้ไอโฟน ผมอิจฉาคนใช้ Samsung ที่สุดก็เรื่องนี้ เนื่องจากจอ iPhone เป็น LED TFT ปกติ ถึงจะทำจอขาวดำ หรือลดความสว่างจอ ก็ประหยัดแบตไม่ได้มาก แต่ฝั่ง Samsung ที่มีจอ OLED เวลาเข้าโหมดประหยัดนี่ประหยัดไปได้เยอะมาก จากแบตเตอรี่ที่ถึงจะก้อนไม่ใหญ่ แต่สามารถใช้งานได้เกือบๆ เต็มวัน ถ้าเปิด Power Saving Mode ก็ใช้ได้เต็มวัน โดยระบบจะแนะนำเราเองจากระดับแบตเตอรี่ว่าควรใช้โหมดไหน

    สรุป แบตอึดดี ใช้งานได้นานกว่าไอโฟน 6 แน่ๆ และมีโหมดประหยัดพลังงานช่วยชีวิตได้อยู่

    ความปลอดภัย (Security)

    พูดเลยครับว่าระบบความปลอดภัยที่มีมาให้ถึง 5 แบบ ผมได้ใช้จริงๆ ตอนนี้ 2 แบบ คือ PIN และลายนิ้วมือ ส่วนที่เหลือมีความเห็นดังนี้

    1. Iris Scanner ระบบแสกนม่านตา ช้าเกินไป กะยาก ต้องใช้ความพยายามปลดล๊อคเครื่องนานเกินไป
    2. Face Recognition ระบบจดจำใบหน้า มีข่าวออกมาว่าใช้รูปภาพปลดล็อคได้ ไม่ผ่านครับ
    3. Password อันนี้ก็ยาวไปหน่อย

    ระบบแสกนลายนิ้วมือถ้าเทียบกับ Touch ID ของ iPhone แล้ว ก็ถือว่าว่องไวไม่ต่างกันมาก แต่พออยู่ด้านหลังเครื่อง ก็รู้สึกแปลกๆ ในการใช้งานเหมือนกัน ต้องปรับตัวเยอะหน่อย (แต่ก็ปรับได้) สิ่งที่ยังเสียดายคือ ยังไม่สามารถใช้ระบบสแกนลายนิ้วมือ เข้าระบบในหลายๆ แอพได้เหมือน Touch ID โดยเฉพาะแอพธนาคาร

    การใช้งานจริง (Day-to-Day Use)

    ตอนนี้ก็เริ่มชินกับความแตกต่างได้แล้ว การจับการถือต่างๆ เหมาะมือมาก (จริงๆ The Verge วิจารณ์ว่า ตัว S8+ น่าจะเป็นตัวต้นแบบ แล้วค่อยย่อจอลงมา เพราะออกแบบมาดีมากกับการใช้งาน) สิ่งที่ติดขัดที่สุดในการใช้งานประจำวัน คือการพิมพ์ เพราะความไม่คุ้นชินกับ Keyboard โดยเฉพาะ Keyboard ไทยใน Android (ผมใช้ GBoard ทั้งอังกฤษและไทย) ทำให้พิมพ์ผิดบ่อยมากๆๆๆๆๆ ตอนนี้ใช้วิธีพิมพ์แบบลากนิ้วแทน (Glide Typing หรือ Swipe) คีย์บอร์ดที่ทาง Samsung ทำมานี่เล็กมากจริงๆ

    หน้าจอที่แตกต่างกันก็เป็นปัญหาในช่วงแรกๆ เช่น Always On Display ที่จะติดตลอดเวลาแม้เราจะปิดหน้าจอ ทำให้ระบบ TouchWiz ของ Samsung มีหน้าจอถึง 3 แบบ คือ Always On Display, Lock Screen, Active Screen ซึ่งสร้างความงงให้กับผมมากในช่วงแรกๆ ผมก็มี Solution ง่ายๆ คือ “ปิดแม่งเลย” เลิกใช้ Always On Display ไปเรียบร้อยครับ ส่วนที่รู้สึกแปลกๆ อีกอย่างคือเวลา Notification เข้ามา ก็จะไม่เด้งขึ้นจอให้เราเห็นเท่าไหร่ มีแค่บางแอพ ทำให้ต้องคอยเช็คเรื่อยๆ พอแก้ขัดได้โดยการเปิด Edge lighting แต่ก็ดู Notification ได้ไม่ครบอยู่ดี

    การกดปุ่ม Back ที่ลำบากมากขึ้น ในไอโฟน ปกติการกดย้อนไปยังเมนูหรือหน้าที่เราเพิ่งอ่าน เราสามารถกดปุ่ม Back ด้านซ้ายบน หรือสามารถใช้นิ้วลากขอบจอด้านซ้ายมาขวาได้เกือบทุกแอพ แต่ใน Android มีได้บ้างไม่ได้บ้าง ต้องกดปุ่ม Back บ้าง หรือกดปุ่มปิดตรงด้านซ้ายบนบ้าง ค่อนข้างเมื่อยอยู่

    หูฟัง ยังไม่ได้ลองเลย เพราะทุกวันนี้ก็ใช้หูฟังไร้สาย Apollo-7 มาตั้งแต่ใช้ iPhone เลยยังไม่ได้เอา AKG ที่แถมมาใช้เลยครับ ได้ยินมาว่าดีบ้าง ธรรมดาบ้าง ถ้าได้ใช้แล้วจะมาบอกนะ

    สรุป (Summary)

    ส่วนที่แย่

    • คีย์บอร์ดห่วยมาก ทุกอัน ลองมาประมาณ 20 อันละ (ตอนนี้ใช้ GBoard ครับ)
    • คีย์บอร์ดไทยใน Android ยังไม่มีตัวไหนดีพอจะแข่งกับ iOS ได้เลย
    • หน่วง ช้า เอ๋อ ยังมีให้เห็น แต่น้อยลง ในขณะที่ iOS ก็เป็น และเยอะขึ้นเรื่อยๆ
    • จอปล่อยแสงสีฟ้าเยอะมาก ปวดตา แต่ก็แก้ได้โดยการเปิด Blue Light Filter
    • Notification บน Android มันห่วยกว่า iOS หลายขุม (เช่นเดียวกับ Control Center iOS ก็ห่วยกว่า Android มากเช่นกัน)
    • ทำงานกับ MacBook Pro ได้ยากขึ้น
    • ระบบสแกนม่านตา สแกนหน้า น่ารำคาญมาก ใช้นิ้วง่ายสุด

    ส่วนที่ดี

    • รูปลักษณ์ภายนอกสวยงามมาก ดึงดูด และให้สัมผัสที่ดี ที่สำคัญถือแล้วหล่อมาก
    • การใช้งานมีประสิทธิภาพที่ดี เร็ว แรง แบตทนใช้ได้ตลอดวัน
    • กล้องสวยมากกกกกกกก ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง แต่กล้องหน้าคือสุดยอดมาก ฟิลเตอร์ดี ฟรุ้งฟริ้งขั้นเทพ ถ่ายอะไรก็สวย
    • จอ คือ Killing Feature ของมือถือรุ่นนี้จริงๆ ถ้าเอาเรื่องอื่นให้ด้อยกว่านี้ยังพอยอมได้ แต่ให้ลดจอนี่ไม่ได้เลย สวย ใส สด คม และยาวสะใจ ไร้กรอบจริงๆ
    • การย้ายค่ายไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้ว เพราะปัจจุบันเราไม่ได้ติดอยู่กับ Apple Ecosystem อีกต่อไป มีแค่ LINE ที่จะไม่ตามมาด้วย นอกนั้นแทบไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ส่วนเรื่องจุกจิกพวก AirDrop / AirPlay / Continuity ก็ต้องเปลี่ยนวิธีการกันไป
    • ใช้สายชาร์จเดียวกับ MacBook / MacBook Pro USB-C ได้ ชาร์จเร็วด้วย
    • ความสามารถรอบด้าน ทั้ง DeX / VR / 360 ทำได้เยอะดี
    • Samsung Pay คือดี เร็ว สะดวก
    • ราคาดี ไม่แพงเกินไป

    นี่คือสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในรอบหลายปีจาก Samsung และดีใจมากที่มีโอกาสได้เปลี่ยนมาใช้ครับ ขอบคุณมุทิตา ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการนะครับ :))
    ปล. จริงๆ มีฝันมานานแล้วว่า อยากให้ Hardware Samsung สามารถมี iOS ได้ ถ้ามีจริงๆ จะกลายเป็น Perfect Combination ที่ไร้คู่เปรียบเลย สาธุ
    ปล2. ขอบคุณน้องชายที่มาช่วยถ่ายรูป แฟนน้องชายที่มาช่วยจัดพร๊อพนะครับ
    ปล3. อยากรีวิว Gear VR จุงเบย (ซัมซุงได้ยินไหม)
    ปล4. ย้ำอีกครั้ง!!! รีวิวนี้ ไม่ได้เป็นการจ้างจากใครทั้งสิ้น ไม่ได้เงิน ไม่ได้ของจากแบรนด์ เพราะแฟนเป็นคนให้มา จบ